
การศึกษาเพื่อวัฒนธรรมสันติภาพ:บทเรียนจากระบบการศึกษานาซีเยอรมันถึงไทย
วันที่ 16 ส.ค. 2563 เวลา 08:30 น.
โดย...พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์
**********************
ตุลาคม 2560 ข่าวนักเรียนเตรียมทหาร “เมย” ถูกลงโทษจนถึงขั้นเสียชีวิตภายในสถานศึกษา และอวัยวะหลายส่วนของเขาถูกนำออกไปโดยไม่ได้ขออนุญาต คณะผู้บริหารและแพทย์ตั้งโต๊ะแถลงอ้าง “สิทธิ (อำนาจ) ที่จะเอาอวัยวะผู้ตายออกไปได้โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งญาติ” เพราะ “เอาไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา (ความรู้) แก่นักศึกษาแพทย์ของกองทัพ”
คำถามใหญ่ที่ท้าทายวงวิชาการและสังคมไทยในเวลาเดียวกันจากกรณีข้างต้นคือ จริยธรรมในการได้มาซึ่งความรู้จากการวิจัยและกระบวนการจัดการศึกษาของสถาบันการศึกษาเพื่อผลิตสร้างผู้เรียนที่มี “ความรู้ คู่ คุณธรรม” จะทำหน้าที่อยู่ได้อย่างไรหากไม่ลุกขึ้นมาตั้งคำถามและไตร่ตรองตรวจสอบตนเอง
เปาโล แฟรร์ (Paul Freire) นักการศึกษาคนสำคัญของโลกได้ชวนเราขบคิดเพื่อแปลงเปลี่ยนวัฒนธรรมความรุนแรงไปสู่วัฒนธรรมสันติภาพจากงานชิ้นสำคัญคือ “ครูผู้สอนวัฒนธรรม” (Teacher as Cultural Workers) และเป็นหนึ่งในงานชิ้นหลักที่การศึกษาเพื่อสันติภาพ (Peace Education) ให้ความสำคัญ ด้วยเห็นว่าการศึกษาควรดำรงอยู่ในวิถีทางที่ส่งเสริมสันติวัฒนธรรม (Culture of Peace) การใช้ “อำนาจ” ผ่าน “ความรู้” ควรเป็นไปเพื่อการสร้างสันติภาพ ความสงบสุขและความเป็นธรรมทางสังคมมากกว่าที่จะเป็นการใช้ความรู้เพื่อส่งต่อวัฒนธรรมความรุนแรง การฉกฉวยประโยชน์ และการกดขี่ (Pedagogy of the oppressed) หรือทำให้เชื่องเชื่อ
ในสมัยที่ระบบนาซียังเรืองอำนาจ นอกจากการสร้างระบบสื่อเพื่อกล่อมเกลาให้พลเมืองเชื่อว่าเชื้อชาติและสายเลือดเยอรมันนั้นยิ่งใหญ่กว่าใครแล้ว อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ยังใช้ระบบการศึกษาเป็นเครื่องมือในการปลูกฝังให้เด็กๆ เชื่องและเชื่อว่าระบบนาซีเยอรมันนั้นดีที่สุด ถูกต้องที่สุดและเด็กๆ ควรจะเชื่อฟังและทำตัวเป็นพลเมืองที่ดีของระบบนี้ด้วยการปฏิบัติตนตามระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด
สวมเครื่องแบบและติดเครื่องหมายสวัสดิกะเหมือนทหารนาซี เด็ก ๆ ถูกสอนให้ช่วยกันสอดส่องดูด้วยว่ามีชาวยิวและคนอื่นๆ ที่มิใช่เยอรมันอยู่ตรงไหนเพื่อจะได้กำจัดทิ้งและเด็กๆ จะได้รับรางวัลและการเชิดชูเกียรติ ระบบการศึกษากลายเป็นเครื่องมือของการใช้ความรุนแรงอย่างเลือดเย็นผ่านการทดลองร่างกายมนุษย์ที่ถูกตีตราว่า “ด้อยคุณค่า” และ “ไม่สมควรมีชีวิตอยู่เพราะจะทำให้เผ่าพันธุ์เยอรมันแปดเปื้อน”
Louis L.Snyder (1998) ได้วิเคราะห์ไว้ว่า “แนวคิดพื้นฐานในระบบการศึกษาของฮิตเลอร์มีอยู่ 2 ประการ คือ ประการแรก จะต้องทำการบ่มเพาะให้เด็กเยาวชนรับรู้ถึงความเป็นเชื้อชาติเข้าที่รากหัวใจกับสมอง ประการที่สอง คือ เยาวชนจะต้องพร้อมที่จะทำการสู้รบในสงคราม โดยทำการศึกษาเกี่ยวกับชัยชนะหรือความตาย เป้าหมายการศึกษาก็คือ จะต้องปลูกฝังจิตสำนึกพลเมืองให้รู้ถึงความเจริญรุ่งเรืองของประเทศและปลูกฝังความคลั่งไคล้ในเรื่องความเป็นชาตินิยม”
ซึ่งท้ายที่สุด เด็ก ๆ ในระบบการศึกษาที่ปลูกฝังวัฒนธรรมความรุนแรงและการเข่นฆ่าของนาซีเยอรมันก็ได้ทำให้เกิดโศกนาฎกรรมขึ้น เป็นบันทึกเสี้ยวประวัติศาสตร์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เด็กๆ ที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสาถูกกล่อมเกลาให้เป็นอาชญากรสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษยชาติด้วยกันเอง เด็กๆ วัยใกล้เคียงกันแต่ต่างชาติพันธุ์กลายเป็นเหยื่อ เด็กๆ หลายคนถูกพรากจากมือพ่อแม่และถูกยิงทิ้งที่กระดูกท้ายทอยต่อหน้าพ่อแม่เพราะระบบนาซีวิจัยมาแล้วว่าเป็นจุดที่ยิงแล้วเสียชีวิตเร็วที่สุด หลายคนถูกนำไปทดสอบทางการแพทย์ หลายคนถูกนำไปใช้แรงงานอย่างหนักในโรงงาน
คำถามคือ สังคมไทยต้องการระบบการศึกษาแบบนั้นหรือไม่ หากคำตอบคือ “ไม่” เราจะมีส่วนช่วยกันจัดการศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองที่เคารพ ให้เกียรติกันและกัน ไม่นิยมความรุนแรง หากแต่ฝักใฝ่แนวทางวัฒนธรรมสันติภาพได้อย่างไร สถาบันการศึกษาและผู้เกี่ยวข้องจะช่วยกันเปลี่ยนวัฒนธรรมการผลิตสร้างความรู้และผู้รู้ด้วยวิธีการใช้ความรุนแรงและการกดขี่กดทับไปสู่การสร้างความรู้และสร้างผู้รู้เพื่อบ่มเพาะวัฒนธรรมสันติภาพ เอื้ออาทรกรุณา และปรารถนาจะถักทอสันติภาพในสังคมที่เราอยู่ร่วมกันให้ยั่งยืนได้อย่างไร
มาเรีย มอนเตสเซอรี่ (Maira Montessory, 1870-1952) นักการศึกษาอีกคนหนึ่งของโลก เธอมีชีวิตร่วมสมัยและทันได้เห็นผลร้ายจากการศึกษาของนาซีที่กล่อมเกลาคนให้ไม่เหลือความเป็นคนที่มีหัวใจเมตตากรุณาต่อกัน การศึกษาที่สร้างคนให้ฆ่าคนด้วยกันได้อย่างเลือดเย็น เธอเสนอว่า สันติภาพศึกษา (Peace Education) เท่านั้นที่จะสร้างคนให้เป็นคนเป็นมนุษย์ที่มีหัวใจ เป็นผู้สร้างสรรค์สันติภาพ และต้องเป็นการศึกษาที่ไม่ใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ และยังต้องเป็นการศึกษาที่ช่วยกันป้องกันมิให้เด็กและเยาวชนคุ้นชินกับความรุนแรง
มอนเตสเซอรี่ เน้นย้ำว่า “นักการศึกษาทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องช่วยกันสร้างการศึกษาที่มุ่งไปสู่สันติภาพ” ผู้เขียนเห็นว่า เราทุกคนในสังคม ไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ ครู สื่อมวลชน หรือใครก็ตามต่างก็มีความสามารถที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างบรรยากาศการศึกษาบ่มเพาะวัฒนธรรมสันติภาพได้ด้วยกันทั้งสิ้น และการตั้งคำถามใคร่ครวญเชิงวิพากษ์ (Critical Reflection) กับระบบและกระบวนการจัดการศึกษาที่มีอยู่ในปัจจุบันถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ
******************************
August 16, 2020 at 08:33AM
https://ift.tt/3g8Ktct
การศึกษาเพื่อวัฒนธรรมสันติภาพ:บทเรียนจากระบบการศึกษานาซีเยอรมันถึงไทย - โพสต์ทูเดย์
https://ift.tt/375SP1C
Bagikan Berita Ini
0 Response to "การศึกษาเพื่อวัฒนธรรมสันติภาพ:บทเรียนจากระบบการศึกษานาซีเยอรมันถึงไทย - โพสต์ทูเดย์"
Post a Comment